ด้านหลังท่านมีรูปวาดเล่าขานเหตุการณ์ในอดีตว่า มีเจ้าผู้ครองนครองค์หนึ่งไม่บูชาพุทธศาสนา ทรงตรึงใจบูชายักษ์ตนหนึ่งขนาดปั้นรูปไว้เคารพบูชา วันหนึ่งขณะที่ภูมีเสด็จทัศนาจรป่าพร้อมพระโอรส และพระบุตรชายไปพบสาวบ้านกำลังรดน้ำอยู่ในธารก็เกิดความหลงเสน่ห์ ถึงกับพาพลิกเข้าวัง แต่สาวเจ้าอันเชิญพุทธรูปไปบูชาในเรือนหลวงด้วย ทำให้ภูธร 1กริ้วมาก ถึงขั้นสั่งการให้ทหารจับพระพระราชโอรสและคนรักมัดประชุมเพื่อจะกำจัด แต่ประชาชนได้ตั้งจิตพิษฐานว่าถ้าธรรมาทิตย์มีจริงก็ขอให้นางคลาดแคล้ว ปรากฏว่าสายเชือกขาดโดยพลัน ขณะที่รูปปั้นยักษ์แตกแตน นเรศถึงกับทรงหันกลับมาซูฮกพุทธศาสนา และขอไถ่บาปด้วยการเนรมิตพะพุทธไสยาสน์เป็นเครื่องตำหนิติเตียนสติ
ภายหลังที่พระผู้เป็นเจ้าอลองพญาทรงทำให้อยู่ในอำนาจมอญราบคาบ มณฑลหงสาวดีก็ถูกทิ้งร้าง พระพุทธเจ้าไสยาสน์ไม่ได้รับการดำเนินงานจนเปลี่ยนเป็นกองอิฐจมอยู่ในโคกดิน จนถึงศก พ.ศ.2424 เมื่ออังกฤษรังสรรค์ทางรถไฟสายพม่า จึงขุดพบบรรพชิตนอนองค์นี้ จากนั้นศก พ.ศ.2491 หลังจากพม่าได้มาเอกราช ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน และได้ทาสีและลงทองลงชาดใหม่ อย่างที่เห็นในสมัยนี้
No comments:
Post a Comment